ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

หนี้สินของแม่
รายละเอียด
ผมทำงานมา 5 ปีแล้ว ยอมรับว่าช่วงเริ่มทำงานปีแรกนั้น ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย และมักหมดไปกับการเที่ยวสนุก แถมยังมีภาระต้องผ่อนรถ ทำให้ไม่มีเงินเก็บ แต่ก็ไม่ได้ละเลยหน้าที่ความเป็นลูกไปเสียทีเดียว คือ ตอนแรกผมตั้งใจจะส่งเงินให้แม่ทุกเดือน กะว่าเดือนละ 2000-3000 บาท แต่แม่เป็นฝ่ายโทรมาขอเงินก่อน โดยบอกว่าจะนำเงินไปชำระหนี้ที่ไปกู้เขานอกระบบจำนวน 8000 บาท (บางคนอาจดูว่าเล็กน้อย แต่ตอนนั้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมนุษย์เงินเดือน ที่เพิ่งเรียบจบใหม่ๆแบบผม) ผมจึงตัดสินใจใช้บัตรเครดิต แล้วนำเงินส่งให้แม่ไปชำระหนี้ (ผมกับแม่อยู่คนละจังหวัด) โดยคิดว่าเดือนต่อๆไปจะทยอยนำเงินเข้าไปใช้หนี้บัตรเครดิต แต่พอผ่านไปประมาณเดือนกว่าๆ แม่ก็โทรมาขอเงินอีกโดยบอกว่ามีหนี้ค้างอีกที่นึง เป็นจำนวน 7000 บาท ทีนี้จะทำอย่างไรได้นอกจากผมก็ต้องใช้บัตรเครดิตอีกครั้ง และจากนั้นแม่ก็โทรมาเรื่อยๆ ขอทีละ 1000 บ้าง 2000 บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้เกือบทั้งหมด ผมก็บอกกับแม่ตามตรงว่าเงินที่โอนให้ทุกครั้งไม่ใช่เงินเก็บนะ ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตมาอีกที คือ ตั้งใจจะบอกให้แม่รับรู้เพื่อแม่จะได้ไม่ก่อหนี้สินครั้งใหม่ แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยบางครั้งผมบอกแม่ตามตรงว่าผมไม่มีเงิน แต่แม่เองเลยที่บอกให้ช่วยกดจากในบัตรให้ก่อน แล้วเดี๋ยวมีแล้วแม่จะเอามาใช้คืนให้ แต่การใช้คืนของแม่จะเป็นแบบผ่อนใช้ เช่น ส่งให้ไป 5000 บาท ครึ่งเดือนก็จะคืนมา 2000 บาท อีก 10 วันคืนมาอีก 1000 บาท แต่พอยังไม่ทันจะครบ แม่ก็จะโทรมาขอเพิ่มอีก ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมเป็นหนี้ในบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวผมเองก็รู้ตัวว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้ ผมเลิกกิน เลิกเที่ยว เริ่มปฏิเสธเพื่อนฝูง ใช้จ่ายอย่างประหยัด (บางทีเพื่อนยังบอกว่าขี้เหนียวด้วยซ้ำ) เพื่อต้องการให้มีเงินเหลือมาใช้หนี้ เหตุการณ์ดำเนินมาแบบนี้เป็นปีๆ บัตรเครดิตบางใบก็เต็มวงเงิน (ผมไม่ได้อยากทำบัตรเครดิตหลายใบ แต่ต้องทำเพื่อนำเงินมาหมุนใช้ใบอื่นๅ เพื่อรักษาเครดิตตัวเอง) จนกระทั่งปีที่ผ่านมาผมตัดสินใจเปลี่ยนงาน ซึ่งได้เงินเดือนมากกว่างานเก่า และสิ้นปียังได้รับโบนัสเป็นหลักแสน (เป็นบริษัทข้ามชาติ) ซึ่งบริษัทเก่าไม่มีโบนัส ผมนำเงินก้อนนี้ไปใช้หนี้บัตรเครดิตส่วนใหญ่ จนเหลือหนี้สินประมาณ 40000 บาท (ลองคิดดูว่าผมเป็นหนี้บัตรเยอะขนาดไหน) และผมก็บอกแม่ไปตามตรงว่าโบนัสหลักแสนนั้นใช้จ่ายอย่างไร เพราะแม่ถามผมมาตั้งแต่โบนัสยังไม่ออกเลยว่าได้เท่าไร แล้วเหตุการณ์เดิมก็กลับมาอีกครั้ง แม่บอกว่ามีหนี้นอกระบบเหลืออยู่อีก 8000 บาท (มันมาอีกแล้ว) ผมโอนไปให้แม่เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา และถามแม่ว่ายังมีหนี้ทั้งในและนอกระบบอีกเท่าไหร ตอนนั้นตัดสินใจว่าจะยอมเป็นหนี้บัตรเครดิตอีกครั้งสุดท้าย แต่แม่บอกว่าไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ก็เลยใช้เงินเก็บตัวเองที่เริ่มจะมีบ้างน้อยนิด โอนให้แม่ไปใช้หนี้ แต่ผ่านมาถึงปลายเดือนมกราคม แม่โทรมาบอกว่าต้องจ่ายค่าบ้านรวมทั้งภาษี 5000 บาท ตอนนั้นผมเริ่มสงสัยบ้างและถามแม่ตามตรงว่า ในเมื่อหนี้สินทั้งหมดผมก็ใช้ให้แม่มาตลอด แม่เองก็ขายอาหารตามสั่ง พ่อเองก็ทำงานโรงงานมีเงินเดือน ตั้งแต่ทำงานผมก็ไม่เคยขอเงิน ทำไมเงินถึงยังไม่พอใช้จ่ายซักที แม่ก็อ้างไปถึงหนี้สินที่เมื่อก่อนมีเยอะ (พอผมถามว่าหนี้อะไร มาจากไหน เอาไปใช้อะไร ก็ตอบไม่ได้ซักที) สุดท้ายก็ยอมโอนให้ไป โดยหวังในใจว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย แต่เหตุการณ์ไม่จบเช่นนั้น พอต้นเดือนกุมภาพันธ์ แม่โทรมาด้วยน้ำเสียงร้อนใจมาก บอกว่ามีหนี้ที่ไปค้ำประกันคนอื่นไว้ 15000 บาท และเจ้าหนี้เค้าจะมาทวงหนี้ที่บ้านแล้ว ยอมรับว่าตอนนั้นโมโหมาก ถามแม่กลับไปตรงๆว่า เราเองก็ไม่ค่อยจะมีกันอยู่แล้ว ไปค้ำประกันคนอื่นทำไม แล้วก็เถียงกันไปมาพักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยอมโอนให้แม่ไป พร้อมถามแม่ว่ามีหนี้ทั้งหมดเท่าไรกันแน่ แม่ก็ยืนยันว่า ไม่มีแล้วจริงๆ นี่เป็นก้อนสุดท้าย ถึงขนาดสาบานให้ผมฟัง แล้วเรื่องก็เงียบไปจนอกระทั่งวันนี้แม่โทรมาอีกเพราะความเผลอหรือเปล่าไม่แน่ใจ มาบ่นเรื่องน้องสาวของผมให้ฟัง (น้องสาวเรียนจบหลังผม 1 ปีและมีงานทำแล้ว) บอกว่าโทรไปขอเงินน้อง 15000 บาทแต่น้องมาบ่นและพูดจาไม่ดีกับแม่ ผมเลยถามแม่ว่าโทรไปขอเงินน้องทำไมอีก เหมือนแม่เพิ่งนึกขึ้นได้เลยพูดตะกุกตะกักว่า จะนำเงินจำนวนนี้ไปใช้หนี้ (หนี้มาอีกแล้ว!) ผมยอมรับว่าโมโหมาก แต่ยังควบคุมตัวเองไม่ให้พูดจาแรงๆ ผมอธิบายให้แม่ฟังถึงค่าใช้จ่ายที่ผมแบกรับอยู่ปัจจุบัน สาเหตุที่ส่งเงินให้แม่ใช้ทุกเดือนไม่ได้ สาเหตุที่มีหนี้บัตรเครดิตเต็มไปหมด และบอกแม่ไปเด็ดขาดว่าต่อไปนี้ผมจะไม่กดบัตรเครดิตอีก พร้อมขอร้องให้แม่ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่ก็บอกแม่ว่าถ้ามีเรื่องจำเป็นจริงๆ เช่น เจ็บป่วย แม่สามารถโทรมาหาผมได้เสมอ (ไม่ใช่เรื่องหนี้) เรื่องราวของผมอาจจะยาวไปซักนิดนะครับ
ความต้องการ
1.ผมตั้งใจว่าต่อไปนี้จะส่งเงินให้แม่ทุกเดือน ดูให้เหมาะสมกับรายรับ-รายจ่ายของตัวผม รวมทั้งเหตุฉุกเฉินที่เลี่ยงไม่ได้ เช่น ท่านเจ็บป่วย แต่จะไม่ส่งให้ทุกครั้งที่ท่านโทรมาขออีก แบบนี้ผมเป็นลูกอกตัญญูหรือไม่ครับ 2.แม่เคยพูด 2 ครั้ง ว่าลูกที่หวงเงินพ่อแม่ เป็นบาป ถ้าผมไม่ได้ให้เพราะผมไม่มีเงินจริงๆ ผมจะบาปหรือไม่ครับ 3.บางครั้งผมไม่อยากพูดกับแม่ ไม่อยากคุย ไม่อยากรับรู้เรื่องของท่านอีก แบบนี้ถือว่าผมอกตัญญูหรือไม่ครับ ตอนนี้ผมไม่สบายใจเลย ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้ว รบกวนขอคำปรึกษานะครับ
ชื่อผู้ถาม
ลูกที่ไม่อยากเป็นหนี้
วันที่เขียน
5 มีนาคม พ.ศ. 2557 21:23:42
จำนวนคนเข้าดู
10140

คำตอบ

คำตอบที่ 1
คุณทำได้ดีแล้ว พยายามทำดีมาตลอดแล้ว จะดีจริง คุณควรหาทางไปปิดบัตรเครดิตทั้งหมดเสีย ไม่ต้องไปใช้มันอีกเลย ประเภทถอนจากบัตรหนึ่งเพื่อเอาไปใช้อีกบัตรแบบนี้ พังกันมาหลายชีวิตแล้ว ไปปิดเสีย ไม่มีก็ไม่ต้องซื้อ เน้นซื้อเงินสด ทุกอย่างเมื่อไม่มีก็อดไปก่อน ไม่ต้องไปอยากโก้ อยากอวดอะไรกับใคร อย่าให้คำว่า "มีเครดิต" มันมาตามหลอกหลอนคุณในระยะยาว

1. คิดและทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว และไม่อกตัญญูอะไรเลย 

2. อยู่กับความเป็นจริง เมื่อเราไม่มีก็ไม่มี ไม่บาปอะไร การที่เราไปกู้เขาแล้วใช้เขาคืนไม่ได้ เครียด นอนไม่หลับ นั่นแหละคือบาป สุดท้ายหลายคนก็ฆ่าตัวตายก็มี นั่นบาปหนัก

3. เชื่อว่าคุณคงอยากคุยกับแม่พ่อตามปกติ แต่อยากคุยเรื่องอื่น ๆ ส่วนเรื่องเงินคุณยังกระท่อนกระแท่นอยู่ ก็ไม่อยากคุยเรื่องนี้ เราไม่ได้ผิดอะไร

แต่เราควรบอกแม่ได้ว่า ให้เลิกกู้หนี้ ก่อหนี้ได้แล้ว ถ้าก่อหนี้กู้หนี้ ก็ให้รับเอง เพราะเราก็ช่วยได้อย่างจำกัด พ่อแม่ที่คิดถึงอนาคตของลูก จะไม่รบกวนลูกมากนัก ลูกมีกินลูกอิ่มนั่นเป็นความสุขของพ่อแม่ แต่พ่อแม่บางคนคิดว่า ลูกโตแล้ว ลูกต้องหาทุกอย่างมาสนองตามที่พ่อแม่ต้องการ 

จงเข้าใจเสียใหม่ว่า
"เงิน" ซื้อความกตัญญูไม่ได้ การที่เราไม่มีเงินให้พ่อแม่ ไม่ได้หมายความว่า เราอกตัญญู 
และอย่าคิดว่า การเอาเงินไปให้พ่อแม่คือการแสดงความกตัญญูรู้คุณเสมอไป มันต้องดูด้วยว่า เอาไปให้พ่อแม่เพื่ออะไร ถ้าเราเอาเงินไปให้แล้ว แต่พ่อแม่เอาไปซื้อเหล้ากิน แบบนี้ ก็แสดงว่า เรากำลังทำให้พ่อแม่อายุสั้น 

เราไม่ต้องตามใจพ่อแม่ทุกเรื่อง ขัดได้ในสิ่งที่พ่อแม่ทำไม่ถูกต้องเหมาะสม ปฏิเสธได้ในส่ิงที่ไม่เข้าท่า และต้องบอกเขาไปตามจริง  คนอายุมากทิฐิมาก ถือตัวมาก เราต้องเข้าใจและอย่าตามใจ

คนอายุมาก ไม่ได้หมายความว่า จะทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
คนอายุน้อย ไม่ได้หมายความว่า จะคิดและทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้

เอาไว้เรามีรายได้พอควร เราก็ต้องช่วยดูแลพ่อแม่แน่นอน
ทางพุทธบอกหลักการใช้จ่ายดังนี้
สมมุติมีรายได้เข้ามาให้แบ่งเป็น 4 ส่วน
1. เอาไว้ใช้ส่วนตัว 2. เก็บไว้เป็นทุนอนาคต 3.มอบให้พ่อแม่และญาติ ๆ 4. ทำบุญบริจาคให้องค์กรสาธารณะต่าง ๆ

หัดเจริญสติหน่อยก็ดี ฝึกฟังและปฏิบัติตามนี้ (ลองฟังและฝึกไปทุก ๆ วันต่อเนื่องไปสัก 3 เดือน คุณจะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ชีวิตจะเจริญก้าวหน้าอย่างไม่คาดคิด)
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=143  

ทุก ๆ 6 เดือน จัดสรรเวลาให้ตัวเองครั้ง 3-4 วัน ลาเพื่อน ลางาน ลาการสื่อสารไปปฏิบัติธรรมแบบเข้มข้น ก็จะเป็นกุศลบารมีสำหรับตัวคุณเอง แนะนำให้ไปตรงนี้
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=150  

หรือตรงนี้ http://3pidok.com/main.php?url=news_view&id=8&cat=C
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
5 มีนาคม พ.ศ. 2557 22:31:30
ทั้งหมด 1 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร