ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

ผมจะสมัครงาน อยากได้คำแนะนำครับ
รายละเอียด
ผมอายุ 22 ปีครับ จบม.6 ผมเรียนต่อมหาวิทยาลัย จนถึงอายุ 19ปี ผมก็ลาออกมา อยู่บ้านเฉยๆอ่ะครับ จากนั้น2-3 ปี ผมก็อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ไม่ได้ไปไหนเลยครับ อยู่แต่ในบ้าน แต่ผมไม่ได้ผลาญเงินพ่อแม่ไปเที่ยวนะครับ ผมอยู่เหมือนคนที่ตายและหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้วอ่ะครับ พ่อจะซื้อกับข้าวมาให้กินครับ แม่ผมก็ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ไปไหนเหมือนผมเลยครับ คือฐานะบ้านผมรวยครับ พ่อทำธุรกิจคุมคนทั่วประเทศ ส่งของทั้งในประเทศ และส่งออกนอกด้วยครับ แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของนะครับ เป็น ผู้บริหารระดับสูงสุด ดังนั้นไม่ต้องถามผมนะครับว่า ทำไมไม่ไปทำงานกับพ่อ คือผมไม่อยากทำครับ ถ้าอยากทำพ่อก็ฝากให้ได้ แต่ผมไม่อยากทำงานอะไรแบบนั้นครับ คนละแนวเลยครับ ผมเข้าเรื่องเลยนะครับ ผมหางาน ผมอยากทำงานในครัว ผมชอบทำอาหาร ผมเห็นมีงานผู้ช่วยกุ๊ก เปิดรับสมัครอยู่หลายที่ ทุกอย่างผมพร้อมหมดครับ ติดแต่ตรงที่ว่า เวลาผมไปสัมภาษณ์ เค้าก็จะต้องถามผมใช่ไหมครับว่า ประวัติผ่านอะไรมาบ้าง แล้วผมควรจะตอบว่าอะไรครับ อย่างเช่นถ้าเค้าถามว่าจบอะไรมา ผมบอกจบม.6 เค้าก็ต้องถามว่าแล้วเวลา 4-5ปี ที่ผ่านมา ไปทำอะไรมา ผมควรจะตอบยังไงดีครับ ผมถึงจะได้งานครับ ถ้าผมตอบไปตรงๆว่า ผมเคยเรียนมหาลัย แล้วผมลาออก มาอยู่บ้านเฉยๆ ผมว่าเค้าไม่เอาผมเข้าทำงานแน่ๆ คงไม่มีใครรับด้วยเหตุผลนี้แน่ แบบนี้ผมควรจะโกหกหรือเปล่าครับ แล้วควรโกหกว่าอะไรครับ ช่วยงานที่บ้าน หรืออะไรดีครับ ช่วยให้คำแนะนำผมด้วยนะครับ คืองานที่ผมจะสมัคร เป็นงานที่ดีเลยครับ อยู่ในห้างใหญ่ๆ ผมพร้อมทุกอย่าง หน้าตาดี บุคลิกดี พูดจาฉะฉาน มุ่งมั่น ขยัน อดทน สู้งาน อย่าถามผมนะครับว่าลาออกมาอยู่บ้านเฉยๆทำไม เหตุผลส่วนตัวครับ วันนี้ผมเป็นคนใหม่แล้วครับ คำถามที่จะถาม : เวลาสัมภาษณ์งาน เขาถามถึงประวัติว่า ทำอะไรมาบ้าง ผมควรจะตอบว่าอะไร ถึงจะได้งานครับ ขอบคุณพี่ๆทุกคนล่วงหน้าเลยครับ ผมไม่เคยเข้าเว็บนี้เลย เข้าครั้งแรก ไม่รู้จะมีคนมาตอบไหม ขอบคุณล่วงหน้านะครับ ผมจะรอคำตอบนะครับ
ความต้องการ
ต้องการได้งาน
ชื่อผู้ถาม
ชีวิตคือของขวัญจากพระเจ้า
วันที่เขียน
12 มิถุนายน พ.ศ. 2557 00:37:40
จำนวนคนเข้าดู
1513

คำตอบ

คำตอบที่ 1
ชีวิตนี้น่าอิจฉาทีเดียว ไม่ใช่น่าอิจฉาตรงพ่อรวยนะ อิจฉาตรงที่โอกาสที่จะได้ทำตามความฝันตัวเองมันใกล้แค่เอื้อมแล้วนะ หลายคนที่ประสบความสำเร็จล้วนมีจุดเริ่มต้นคล้ายๆแบบนี้นี่แหละ 

พรุ่งนี้เช้าลุกจากที่นอนไปส่องกระจกแล้วยิ้มให้ตัวเองเลย ตัดความกลัวออกไปให้หมดจากชีวิตเลย เราจะเป็นยังไงก็ได้มันคือความจริง มันคือประวัติ มันคือภูมิศาสตร์ของเรา ถ้าเขาถามก็เล่าไปด้วยสีหน้าและแววตาที่มีความภาคภูมิใจกับชีวิตตัวเอง คนที่รับข้อมูล เขาสัมผัสพลังชีวิตเรา ไม่ใช่เสพย์ความหรูหรา ความเนี้ยบของวิถีชีวิตของเรา มันอยู่ที่การนำเสนอ เขาถามเราตอบ แต่ให้อ่อนน้อมเข้าไว้ หน้าตาต้องสดใสมีความสุข และอย่าลืมสิ่งนี้สำคัญมากๆ

ตั้งเป้าหมายของชีวิตตัวเองให้ชัดเจน เช่น อีก 3 ปีข้างหน้าฉันต้องมีตังเก็บ 3 แสน อีก10ปีข้างหน้าฉันจะนอน สบายๆอยู่บ้านทั้งที่ยังมีรายได้อยู่ หรือฉันจะต้องเป็น เจ้าของรีสอร์ทหรือเป็นหัวหน้ากุ๊กบินไกลไปเมืองนอกเมืองนาให้ได้ จากเป้าหมายเล็กๆ ค่อยๆใหญ่ไต่ไปเรื่อยๆก่อน ลองนั่งเขียนมันนะเป้าหมาย สังเกตุตัวเองเวลาเราเขียนความฝันสิ เรามีความสุขแค่ไหน แหม แค่คิดก็ลอยล่องไปไกลแล้ว ความสำเร็จช่างหอมหวานเกินกว่าจะมานั่งกังวล 

ใส่ไปให้เต็มที่เลยไม่ต้องกลัวนะ การหลอกตัวเองเพื่อคนอื่น เราอยู่ในสภาพนั้นได้ไม่นานหรอก มันต้องมีสักที่ที่ เชื่อในความเป็นเรา รู้หลบรู้หลีก จำไว้แค่ว่า อ่อนน้อง ไม่เย่อหยิ่ง พูดความจริง และนำเสนอเป้าหมายของเราให้คนได้รู้ เล่าความฝันของเราให้เขาได้รู้ว่าเราอยากคว้ามันมากแค่ไหน ด้วยความกระหายจริงๆที่อยากจะได้มัน 

จงอย่ากลัวแล้วอยู่กับที่เฉยๆ ถ้าห้ามความกลัวไม่ได้ก็จงก้าวมันไปทั้งกลัวๆนั่นแหละ แต่จงมีสติและค้นคว้าหาข้อมูลจนมั่นใจแล้วก็ไปเลย! 
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 299
วันที่เขียน
12 มิถุนายน พ.ศ. 2557 20:55:08
ทั้งหมด 1 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร