ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

พ่อเเม่เเยกทางกัน
รายละเอียด
สวัสดีครับ ผมขอความเห็นเพื่อนๆพี่ๆน้องๆหน่อยครับ ผมชื่อโบ้ทอายุ20เรียนอยู่ฯ ครอบครัวผมมีกัน5คนผมเป็นคนกลางมีพี่สาวอายุ26และน้องชาย12ขวบ ครอบครัวผมอยู่ต่างจังหวัดเรามีความสุขมากเมื่อย้อนไปเมื่อ6ปีก่อน เรามีอาชีพส่วนตัวทำที่พักแพล่องกันเเละสวนยาง เรื่องครอบครัวเเตกแยกตแนผมอยุ่ราวๆม.3แม่เริ่มทำสวนยางแม่ทำคนเดียวเพราะพ่อเป็นคนไม่ค่อยเอาอะไร เค้าไม่เคยทำไร่ แต่เเม่เค้าทำคนเดียวเค้าเหนื่อยมาตลอด ก้มีผมได้ไปช่วยบ้าง ท้าวความนิสัยส่วยตัวอันอาจเป็นที่มาของการเเยกทางกันของที่บ้านนะคับ คือพ่อเค้าเป็นคนไม่ค่อยเอาอะไรอ่ะครับแบบว่าไม่เหมือนคนอื่นๆเค้าไม่เคยช่วยงานบ้านเลยเวลาเเม่ไม่อยุ่บางทีเเม่กลับมาจากสวนเย็นมากก้ต้องมาทำงานครัวงานบ้าน แม่เค้าบอกว่าเค้าเหนื่อยมากกับพ่อ พ่อเป็นคนไม่ระเบียบด้วย สมัยนั้นตอนผมอยุ่ม.3 พี่ผมก้ไม่ได้อยุ่บ้านแล้วเค้าไปเรียนมหาวิทยาลัย ในกทม. เเต่ก่อนบ้านเราก้พอมีกินครับเพราะมีรายได้ดีพอควร แม่ก้ไปซื้อที่ปลูกบ้าน ห่างจากที่เเพ3กม. เหตุที่ต้องซื้อเพราะเราอยุ่เรื่อนเเพกันเเต่เกิด ซึ่งตั้งอยุ่ในอุทยาน ไม่มีไฟฟ้าสมัยนั้น ผมก้ได้ย้ายมาอยุ่บ้านกับเเม่เเละน้องเพื่อจะได้ไปรร.ได้สดวก แต่พ่อไม่ได้อยุ่ด้วยเพราะต้องเฝ้าอยุ่ที่แพนี่อาจเป็นอย่างหนึ่งที่เรื่มไกลกัน และพ่อแม่ก้ทะเลอะกันเรื่อยมาโดยปัญหาต่างๆนาๆบางทีพ่อก้เอาน้องไปอยุ่ด้วยบ้างเเย่งกันไปๆมาๆ ผมจำได้เสมอมา ข้าวมื้อสุดท้ายที่เราได้กินกันครบหน้าตา!!!!!!เมื่อตอนพี่กลับมาบ้าน พ่อก้มาที่บ้านมากินข้าวกัน ผมขับรถไปรับพี่ที่รถเมย์ขากลับพี่ขับจยย.ล้มงูตัดหน้า ผมเกือยตายเพราะกระเด็นไปอยุ่กับงูเห่า งูยกเดม่เบีเยใส่ผม เเต่ไม่กัด นั่นเป็นวันที่เราสองคยจำได้ตลอดมา ก่อนจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่กินพร้อมกันมาถึงวันนี้ก้5-6ปีเเล้ว ผมเรียนอยุ่ปี2 พี่อยุ่ป.โท น้องคนเล็กอยุ่ป.6 ผมอยากให้พ่อกับแม่กลับมารักกันมาอยุ่ด้วยกันทุกวันนี้เดม่ไปแยุ่ในไร่สวน ห่างกับบ้านพ่อ30กม.น้องอยุ่กับพ่อ บางทีผมอยากกลับบ้านมากในทุกๆอาทิดที่เรียนเสร็จแบบเพื่อนๆคยอื่น เเต่ผมก้ไม่ได้กลับ เพราะเเม่อยุ่ไกลหนทางลำบาก ผมอยุ่กับพ่อปิดเทอมก้ช่วยงานที่บ้านอยุ่กับญาติพี่ๆน้องทางพ่อ แม่ก้มาหาบ้างเอาขนมของมาฝาก ผมอยากให้พ่อเเม่กลับมาเหมือนเดิมมากเพราะตอนนี้พ่อกับเเม่ต่างคนก้ไม่มีใครใหม่ พ่อก้ยังลำรึกถึงเเม่อยุ่ผมแอบเห็นรุปในกระเป๋าตัง เพราะสักวันที่ผมเรียนจบพี่เรียนจบผมอยากให้พ่อกับเดม่มารับประริญญาแบบถ่ายรูปำร้อมกัน ในกรอบเฟรมเดียวกัน ไม่อยากเป็นแบบตอนที่พี่จบตรี แล้วพ่อมางานตอนเช้าถ่ายรูปเเล้วกลับไปส่วนเเม่มางานตอนเย็นมาถ่ายรูปกัน ผมจะพูดยังไงดีครับให้แม่พ่อกลับมาอยุ่ด้วยกันแบบก่อน ผมสงสารน้องที่ไม่มีคนห่วงใยเพราะน้องยังเด็กอยุ่ ผมจะเป็นคนพูดวังไงดีครับ ขอความเห็นทุกคนหน่อยครับ ผมท้อถแยมากกับทุกวันนี
ความต้องการ
เราในถานะลูกๆจะพูดหรือทำยังไงดีครับ ให้เค้าหลับมาอยุ่ด้วยกัน
ชื่อผู้ถาม
ศราวุฒิ ศรีบุตร
วันที่เขียน
13 กันยายน พ.ศ. 2557 02:37:38
จำนวนคนเข้าดู
1567

คำตอบ

คำตอบที่ 1
เรื่องราวของแม่พ่อเรา เขาได้เผชิญสุขทุกข์ร่วมกันมามากมาย ได้สะสมได้เก็บความเจ็บปวด ได้ปะทะคารมกันมามากมาย จนถึงขีดสุด เขาก็ได้ข้อสรุปว่า อยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าอยู่ต่อก็จะมีแต่ทะเลาะวิวาทหรือทุบตีทำร้ายกัน เขาจึงแยกทางกัน

ถ้าเขาจะกลับมาอยู่ด้วยกัน ก็ให้เขาคุยกัน สรุปบทเรียนที่ผ่านมาด้วยกัน แล้วมีข้อปฏิบัติร่วมกัน
นั่นแหละ จึงจะพอเป็นไปได้ ลูก ๆ อาจหาโอกาสให้พ่อแม่ได้คุยกันในบรรยากาศแบบนี้ โดยไม่ต้องทิฐิ ไม่ปิดบัง เปิดใจให้กว้าง
ถ้าเขาไม่มีโอกาสคุย ก็ยากจะเป็นไปได้

ในส่วนตัวเรา บางทีเราอาจต้องทำใจไว้ล่วงหน้าเหมือนกัน
และเก็บเรื่องราวชีวิตพ่อแม่ไว้เป็นบทเรียนสอนตัวเอง เมื่อเราไปมีครอบครัว จะไม่ทำอะไร...จะทำอะไร...จึงจะให้ชีวิตครอบครัวอยู่ร่วมกันได้และมีความสุข  สถานการณ์จริงกับสิ่งที่เราคิด อาจแตกต่างกัน แต่ถ้าเราพยายาม ก็จะสามารถทำได้ ซึ่งก็อยู่ที่คู่ครองของคุณด้วยว่าเป็นคนเช่นไร  ถ้าสองคนสนใจเรื่องศีล เรื่องสติ เรื่องภาวนา หันหน้าเข้าวัด หมั่นฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ชีวิตคู่ก็คงมีแต่ความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย

ฝึกฟังและฝึกปฏิบัติตามนี้ทุก ๆ วัน อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง นั่ง 30 นาที เดินจงกรม 30 นาที
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=143

2. พาแม่และพ่อไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมสักระยะ เช่น ทุก ๆ 4 เดือนไป 1 ครั้ง ไปอยู่ครั้งละ 3-7 วัน (พาไปทีละคน ไม่ต้องไปพร้อมกัน)
แนะนำตรงนี้ http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=150
หรือตรงนี้ http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=186
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
14 กันยายน พ.ศ. 2557 10:02:19
ทั้งหมด 1 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร