ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

สงสัย ทำดีได้ดี ?
รายละเอียด
ผมสงสัย ศาสนาพุทธบอกว่าทำดีได้ดี ผมพยายามทำความดี ถวายสังฆทานแทบจะทุกวัน ทำธุรกิจ ไม่ได้โกง แต่นี้ผมย่ำแย่มา 4 เดือนแล้ว มันบัดซบ มากสำหรับผมมันแทบจะหมดความอดทน อย่าตะโกนด่าออกไปว่า suckkkkkkkkkkkkkkkkkkk ไหนว่าทำดีได้ดีงัย หลอกหลวงชัดดดดดด ผมไม่อยากมานั่งฟังว่ากรรมเข้ามา วิบากกรรม เพราะชีวิตเจอคนเก่งแต่พูดมาเยอะ ไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว ต้องการเป้นรูปธรรม ไหนบอกว่าทำดีได้ดีงัยยยยยย ชาติหน้าไม่รู้หรอก อยากเห็นชาตินี้ หากคำว่า ศาสดา/พระพุทธเจ้า มีจริง ผมหวังว่าจะได้เห็นความจริงว่าศาสนาพุทธ สอนพูด ไม่ใช่การเสียเวลา ไปเปล่า........................ เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้ว่า ศาสนาสอนถูกหรือป่าว นิพานใครจะไปรู้ นรก-สวรรค์ ก็ไม่เคยเห้น ไอ้คนที่พูดว่า มีจริง ผมว่ามันก็ไม่เคยเห้นเหมือนกัน ก็แค่เชื่อตามๆๆกันมา เท่านั้น ลืมบอกผมพยายามนั่งสมาธิทุกวัน วันละ 30 นาที อาจจะดูน้อยแต่ต้องทำมาหากินไม่ได้เป็นพระ หากมีเวลามากกว่านี้จะปฎิบัติธรรมมากกว่านี้ แต่ตอนนี้เริ่มคิดว่า ศาสนามีจริงป่าว? หรือแค่การหลอกหลวง เท่านั้นเอง หากไปทำคนคริสต์เขาก็บอกว่าศาสดา คือ เยซู อีิสลามก็เช่นกัน ผมกำลังจะบอกว่าทำศาสนาบอกว่าตัวเองดี แต่เอาเข้าใจคนภายนอกอาจจะมองว่าหลอกลวงแล้วมันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ผมจะใช้ความพยายามถึงที่สุด อดทน อดกลั้น แม้มันแทบจะระเบิด ทำกุศล 10 มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังว่าชาตินี้ก่อนตาย จะได้รู้ว่าคำสอน ถูกหรือผิด จะได้จำไปชาติหน้า ไม่เสียเวลาอีก
ความต้องการ
สงสัย
ชื่อผู้ถาม
มีเรื่องสงสัย
วันที่เขียน
18 ตุลาคม พ.ศ. 2556 19:41:26
จำนวนคนเข้าดู
1630

คำตอบ

คำตอบที่ 1
อะไรคือความดี อะไรคือของดี อะไรคือสิ่งดี อะไรคือผลตอบแทนดี อะไรคือความชั่ว อะไรคือของชั่ว อะไรคือสิ่งชั่ว อะไรคือผลตอบแทนชั่ว ถ้าจับหลักถูก เราจะไม่ไขว้เขว ไม่ท้อแท้ ไม่อิจฉา ไม่หงุดหงิด ไม่สบถ ไม่เปล่งวาจาหยาบออกมา คำว่า "ทำได้ได้ดี" นั้นแปลมาจาก ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว ดังนั้น ทำดีนั้น เป็นความดีแน่นอน = ได้ดี ทำชั่วนั้น เป็นความชั่วแน่นอน = ได้ชั่ว การที่คุณทำความดีทุกวัน เช่น ทำสังฆทาน นั้นก็เป็นสิ่งดีแล้ว ถ้าทำถูกต้องทำเป็น แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า ไม่เกี่ยวกับธุรกิจอะไรของคุณเลย มันคนละเรื่อง ธุรกิจคือธุรกิจ คือความอยากรวย อยากได้มาก ๆ อยากมีแต่กำไร ๆ ไม่อยากขาดทุน คุณทำสังฆทาน เพราะหวังว่าจะทำให้ธุรกิจมีแต่กำไร นั้น คนละเรื่องกันเลย สังฆทานก็เป็นเรื่องสังฆทาน ธุรกิจก็ธุรกิจ คุณต้องอยู่กับข้อเท็จจริง คุณต้องเห็นความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยหรือองค์ประกอบให้ได้ ธุรกิจคุณคืออะไร คุณต้อง focus ตรงนั้น ต้นทุนคุณมีขนาดไหน ตลาด/ลูกค้าของคุณคือใคร สินค้าคุณคืออะไร คุณภาพเป็นอย่างไร คุณภาพบริการของคุณเป็นอย่างไร คุณและเจ้าหน้าที่ของคุณปฏิบัติกับลูกค้าอย่างไร ความสม่ำเสมอในคุณภาพและบริการ คู่แข่งในตลาดเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมภายนอกเป็นอย่างไร สภาพทางเศรษฐกิจ การสร้างสรรค์ผลงานที่ประทับใจ ฯลฯ ซึ่งมันมีปัจจัยเกี่ยวเนื่องเยอะแยะ ถ้าอยากรวยจากธุรกิจ อยากทำกำไรจากธุรกิจ ก็ต้องทำธุรกิจให้เป็น มีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ บริหารจัดการให้ดี พัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพเหมาะสมกับตลาด จริงใจตรงไปตรงมา สร้างทีมงานที่มีคุณภาพฯลฯ ไม่ใช่พอธุรกิจล้มเหลว ขายไม่คล่อง กำไรหาย ก็มาโทษคำสอนทางศาสนา อ้างว่าทำสังฆทานทุกวัน นั่งสมาธิทุกวัน ทำไมไม่มีผลอะไร(กับธุรกิจ) ของคุณเลย มันคนละเรื่องเลย เข้าใจผิดอย่างมาก ลองคิดดูสิ ทำไมคนในประเทศอื่นที่เขาไม่ได้ประกาศว่าเขานับถือพุทธศาสนา แต่เขาทำสินค้าออกมาขายแล้วรวยและมีกำไรได้ กลายป็นบริษัทใหญ่โตไปทั่วโลกก็มี เช่น พวก Apple Microsoft Oracle Google ฯลฯ คุณเห็นหรือยังว่า เรื่องความรวยเรื่องกำไรแบบนี้นั้นมันคือธุรกิจ พวกบริษัทพวกนี้ ทุกวันเขาทำสังฆทาน เขานั่งสมาธิแบบคุณไหม ไม่มี..แล้วทำไมเขารวยล่ะ แล้วทำไมเขามีกำไร พุทธศาสนาไม่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านเรื่องการทำธุรกิจ แต่ไม่สนับสนุนให้ทำสิ่งที่ผิดศีล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือไม่ธุรกิจก็ตาม ตัวอย่างอีกเรื่อง ... การได้เลื่อนขั้น ได้เงินเดือนเพิ่ม ได้ยศ ได้เกียรติได้รางวัลต่าง ๆ หลาย ๆ กรณี ไม่ใช่เรื่องการทำดีแบบพุทธศาสนา แต่เพราะประจบ หลอกลวง ทุจริตคดโกง ยัดเงินใต้โต๊ะ ฯลฯ ก็มีสิ่งพวกนี้ได้ เห็นไหมว่า "ความรวย" ไม่ใด้เกิดจากความดีเสมอไป เลื่อนขั้น เลื่อนยศ มีตำแหน่ง เพราะวิ่งเต้นเส้นสาย เพราะจ่ายเงินทอง เพราะซื้อ แบบนี้ เขาก็เลื่อนขั้นเลื่อนยศได้ ซึ่งก็ไม่ได้เกิดจากความดีแบบพุทธอะไรเลย เห็นไหม อย่ามองว่า การได้สิ่งเหล่านี้คือได้ดี (แบบที่คุณคิด) อย่าน้อยใจเมื่อทำอะไรแล้วไม่ได้อย่างที่ตัวเองคิดหวัง อย่าเข้าใจผิดว่า ความดีไม่มีผล ความชั่วไม่มีผล จงอย่าโลเลลังเลในคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าอยากรวยถึงขนาดไปทำสิ่งผิดที่คุณคิดว่าจะทำให้คุณ "ได้ดี" เลย พุทธศาสนาไม่หลอกลวงใคร ปัญหาจะอยู่ที่คนไม่เข้าใจพุทธศาสนาแล้วก็เชื่อและเข้าใจพุทธศาสนาแบบผิด ๆ จึงทำแบบผิด ๆ เมื่ออ้อนวอนไม่ได้ตามที่หวัง ก็มาโทษพุทธศาสนา (อีก) คุณนั้นนับว่าโชคดีกว่าคนเมื่อ 200 ปีที่แล้ว เพราะอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสาร มีเทคโนโลยีก้าวหน้า หากฉลาดค้นหาข้อมูล เปรียบเทียบข้อมูล เชื่อมโยงข้อมูล แยกแยะข้อมูลเป็น และใช้ข้อมูลเป็น คุณจะไม่สงสัยเลยว่า "ศาสนาสอนถูกหรือป่าว นิพานใครจะไปรู้ นรก-สวรรค์ ก็ไม่เคยเห้น ไอ้คนที่พูดว่า มีจริง ผมว่ามันก็ไม่เคยเห้นเหมือนกัน ก็แค่เชื่อตามๆๆกันมา เท่านั้น" ถ้าทำทานเป็น ก็ได้อานิสงส์มาก ถ้าเจริญภาวนาเป็น ก็ได้อานิสงส์มาก (โดยที่แท้สมาธิ ไม่ใช่เป้าหมายของการปฏิบัติธรรม แต่เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเพื่อใช้เป็นบันไดก้าวไปสู่ปัญญาเท่านั้น) ดังนั้น นั่งสมาธิก็ต้องนั่งให้เป็น ไม่ใช่สักแต่ว่านั่ง หรือนั่งให้เสร็จ ๆ ไป สรุป อยากให้คุณสงบเย็นลง นิ่ง ๆ แล้วมองทุกอย่างตามความเป็นจริง ดูทุกอย่าง "ที่ปรากฎเกิดขึ้น"ตามเหตุปัจจัย แยกแยะดูว่า มีเหตุปัจจัยหรือองค์ประกอบอะไรบ้าง ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ทุกอย่างทุกเรื่องในโลกนี้มันขึ้นอยู่กับการจัดการเหตุปัจจัยหรือจัดการองค์ประกอบทั้งนั้น อย่าเอา "ความอยากให้เป็นแบบนั้น อยากให้เป็นแบบนี้" ของคุณไปจับในเรื่องต่าง ๆ ฝึกหัดมองทุกอย่างตามความเป็นจริง แยกแยะเหตุปัจจัยให้ได้ ค่อย ๆ พิจารณาตัวคุณเองให้แน่ชัดว่า ชีวิตคืออะไร ธรรมชาติของชีวิตเป็นไปอย่างไร จุดดีงามสูงสุดที่ชีวิตมนุษย์สามารถก้าวไปถึงได้คืออะไร และจะมีวิธีเพื่อไปสู่จุดดีงามสูงสุดนั้นได้อย่างไร เมื่อได้คำตอบแล้ว คุณจะมีความมั่นใจและมีวิธีดูแลและจัดการกับชีวิตของคุณได้เอง และคุณก็จะเข้าใจเองว่า ศาสนาพุทธสอนอะไร และชาวพุทธต้องทำอย่างไรบ้าง บางที "รวยไว ๆ กำไรมากๆ มั่งคั่งสูงสุด" อาจไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงสำหรับชีวิตคุณก็ได้ "เลิกทำบุญ เพราะอยากรวยเงินทอง เลิกทำบุญ เพราะอยากมีโชคลาภ" เสียที แล้วตาคุณจะสว่างมากขึ้น ลองทำบุญแบบมีปัญญาดู แล้วคุณจะเข้าใจว่า "การทำดี เป็นสิ่งดีและได้ดี" จริง ๆ
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
18 ตุลาคม พ.ศ. 2556 20:34:30
คำตอบที่ 2
ขอบคุณคำถามนี้ เป็นคำถามที่ดีมาก ขออนุญาตวิเคราะห์ดังนี้ คุณถามคำถามภายใต้ ความกดดันที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ความดีความชั่วเป็นพื้นฐานที่เป็นจริงของชีวิต จงเชื่อมั่นและศรัทธาในการทำความดีเถอะ คุณปลูกมะม่วง คุณก็จะได้ผลมะม่วง ปลูกวันนี้จะให้ออกผลพรุ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ ทำความดีไม่มีแบบตัดตาต่อกิ่ง ต้องรอการเจริญเติบโตตามกาล เรื่องสวรรค์-นรกไม่ขอพูดเยอะ แค่อยากถามว่าวันพรุ่งนี้มีหรือเปล่า คำตอบคือมี กับเมื่อวานมีหรือเปล่า คำตอบก็มีเช่นกัน คุณเอาพรุ่งนี้กับเมื่อวานมาแสดงให้เห็นหน่อยสิ นัยเดียวกับนรก-สวรรค์ เอามาแสดงให้เห็นไม่ได้ ต้องสัมผัสเอง พรุ่งนี้คุณก็รู้อยู่ว่ามี จงวางแผนทำงานขณะที่วันพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง อย่ารอให้พรุ่งนี้มาถึงแล้วค่อยทำงาน และคุณจะเสียใจว่าทำไมไม่ทำตั้งแต่เมื่อวาน คุณเป็นคนที่เข้าใจศาสนาดีคนหนึ่งในภาวะปกติ การที่คุณผ่านวิกฤติได้ขณะนี้ มาจากพื้นฐานทางจิตที่ฝึกมาดี เมื่อเจอกับปัญหาและอุปสรรคก็ตั้งรับกับมันได้ นี่เป็นประโยชน์โดยตรงที่คุณได้รับจากการทำความดี จากการปฏิบัติตามหลักของศาสนา ให้กำลังใจ ขอให้ผ่านอุปสรรคครั้งนี้ได้ แล้วจะพบกับแสงสว่างเบื้องหน้า
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 33
วันที่เขียน
19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 09:33:40
คำตอบที่ 3
อาจารย์ขอแชร์ประสบการณ์ซวยส่วนตัวนะครับ ย้อนหลังไป 15 ปี อาจารย์เป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่นตั้งแต่สมัยเรียน ชอบติวหนังสือเพื่อน เวลาเห็นรถเสียบนท้องถนนก็จะวิ่งลงไปช่วยเข็น ช่วยจูงคนแก่ข้ามถนน ช่วยบ้านเด็กกำพร้า สารพัดช่วยตามกำลังที่มี แต่สิ่งที่ตอบแทนมาให้อาจารย์ช่วงนึงก็คือ “ความซวย” ครับ แบบว่า สารพัดซวยได้หลั่งไหลเข้ามาหาอาจารย์ เรียนจบแล้วตกงานเกือบปี เข้าคิวซื้อของรอจนถึงคิวตัวเองของหมด วันไหนไปสมัครงานฝนจะตก ถูกหลอกให้ไปสมัครงานแบบโกงเงิน เป็นแบบนี้บ่อยมาก ทำงานแต่ละทีก็เจอแต่ปัญหายากๆที่ไม่มีใครอยากทำ จนอาจารย์คิดว่า “แล้วเราจะทำความดีไปหาสวรรค์วิมานไร ฉันไม่เคยอยากได้โชคดีเลย แต่ขออย่าซวยได้ไม๊ ทำไมชอบซวยเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ทำชั่วมันไปเลยดีกว่าไม๊?” จนวันนึง อาจารย์เห็น Slogan ของเครือปูนซิเมนต์ไทย(ปัจจุบันคือ SCG) ที่เขียนว่า เราสร้าง “คนเก่งและคนดี” “คนเก่ง” ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ “คนดี” ทำให้ความสำเร็จนั้นยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทุกคน อาจารย์อ่านปั๊บ เลยเข้าใจทันทีว่าที่ผ่านมาตัวเองเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าคนดีจะประสบความสำเร็จ อาจารย์ทำตัวเป็นคนดีแต่ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนเก่ง เพราะธรรมชาติของคนดีคือไม่แย่งของใครให้ชาวบ้านเขาได้ของดีไปก่อน จนบางครั้งยอมเสียสิทธิ์ของตัวเองให้กับคนอื่นไปแบบเปล่าประโยชน์ คือ ให้แบบไม่ฉลาดเพราะเกิดประโยชน์น้อยเบียดเบียนตนเองมากอาจารย์ทำงานก็ไม่อยากขัดคนอื่นเพราะรักษาน้ำใจให้กับคนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นจนงานตัวเองไม่เดิน อาจารย์ไม่รู้จักคิดสรรสร้างวิธีการทำงานใหม่ๆ แต่เอาเวลาไปสวดมนต์นั่งสมาธิถวายสังฆทานเก้าวัดอย่างเดียว แล้วพระที่ไหนจะมาช่วยอาจารย์ อย่างพระพุทธรูปก็นั่งของท่านอยู่อย่างนั้นแหละ ขนาดองค์ท่านสกปรกเพราะนกขี้รดใส่ยังต้องรอคนให้ไปช่วยเช็ดทำความสะอาดเลยแล้วใครจะมาช่วยเรา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาจารย์เลยเข้าใจอะไรมากขึ้น ว่าคนเก่งและคนดี ต้องมาคู่กัน อาจารย์ขอแค่แชร์แนวคิดนะครับ คุณสงสัยลองพิจารณาตามเหตุผลและเชื่อมโยงกับคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจแบบยั่งยืนบนโลกใบนี้ว่า เขาดำรงชีวิตอย่างไร เขามีอะไรที่เราไม่มี เรายังไม่ได้ทำอะไรที่เป็น Key Success Factors เมื่อนั้นเราจะเข้าใจชีวิตแห่งความเป็นจริงมากขึ้นเองครับแล้วสุดท้ายเราจะเห็นเองว่า ความดีที่เราสร้างสมมานั้นสุดท้ายจะย้อนกลับมาให้ผลแก่เราแบบครบถ้วนทั้งต้นทั้งดอกแบบไม่น่าเชื่อขอเพียงแค่เราฉลาดในการใช้ชีวิตเท่านั้น
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 399
วันที่เขียน
21 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11:48:19
ทั้งหมด 3 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร